วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

ชีวิตการทำงานของ PR (อย่างผม)



เหลือบตามองนาฬิกาพบว่า 12.00 พอดีเป๊ะ! หลายๆ คนคงกำลังเดินแสวงหาอาหารกลางวัน อย่างเบียดเสียดยัดเยียด ส่วนผมอะเหรอ?....ได้รับความกรุณาจากพี่ธุรการประจำกองงาน หาอาหารมาให้รับประทานเป็นที่เรียบร้อย พอดีวันนี้ใช้พลังงานจากสมองอันน้อยนิดเยอะไปหน่อย เลยทำให้หิวไว แถมโชว์มั่น คว้าห่ออาหารมารับประทานตั้งแต่ 11.30 น. อย่างไม่แคร์ใคร (เพราะใครคงไม่แคร์เราเช่นกัน...หุหุหุ) เวลาเที่ยงวันก็เลยสำราญ และว่างพอที่จะมาอัพบล็อกพรรณา ชีวิต PR ให้เพื่อนๆ ได้ฟังกันได้

วิชาชีพ PR หากแบ่งออกเป็นประเภทของหน่วยงานง่ายๆ คงแบ่งได้ว่าเป็น PR ของรัฐและเอกชน ผมผ่านงานเอกชนมาแล้วอย่างโชกเลือด เอ้ย โชกโชน เลยลองเปลี่ยนทิศทางชีวิตมาลองทำงานเป็น PR ของหน่วยงานภาครัฐดูบ้าง พบว่ามันก็สนุกดีแหะ! (เหรอ?)

ความเหมือนของการทำ PR ระหว่างองค์การทั้งสองประเภทก็คือ เราต้องทำหน้าที่สื่อสารเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจอันดีระหว่างองค์การ กับประชาชน (หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย) หากแต่ความต่างมันอยู่ที่ ภาคเอกชน มักทำ PR เพื่อผลกำไร (แน่นอน ต้องมีอะไร Return กลับมาบ้าง ทั้งในรูปตัวเงิน และไม่ใช่ตัวเงิน เช่น ได้ภาพลักษณ์ ได้เป็นที่รู้จัก เป็นต้น) และ PR ภาคเอกชนมักสังกัดอยู่กับแผนก หรือฝ่ายการตลาด แต่สำหรับภาครัฐ PR ก็คือ PR เราจะต้องทำ PR เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชน ถ่ายทอดนโยบาย ข่าวสาร ไม่ค่อยเน้นเรื่องรายได้ แต่จะเน้นที่ความเป็นที่รู้จัก ภาพลักษณ์ และผลสัมฤทธิ์จากการประชาสัมพันธ์ เช่น การรณรงค์ลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ผลสัมฤทธิ์ที่คาดหวังก็คือเหตุการณ์อุบัติเหตุที่ลดลง เป็นต้น (เห็นไหม ไม่ได้เงินสักกะบาทเลยนะ)



แต่ไม่ว่าจะทำ PR ที่ไหน งานที่ได้รับมอบหมายก็สนุกไม่แพ้กัน เจ้านายแต่ละที่ นโยบายแต่ละองค์การก็ไม่เหมือนกัน เพราะงาน PR มีหลายแขนง บางองค์การมีส่วนงานพิธีกรและนางแบบเป็นของตนเอง เวลาที่ไปจัดอีเวนท์ที่ไหน พวกเธอทั้งหลายก็จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนขององค์การ เป็นพิธีกรจ๊ะ จ๋า เรียกความสนใจและให้ความรู้แก่ผู้ที่มาเยี่ยมชมงาน เรียกได้ว่าพริตตี้ตกงานกันเป็นแถวๆ เพราะงานลักษณะนี้จะเน้นที่บุคลิกภาพและหน้าตาเป็นหลัก รองลงมาก็คือความมั่นใจ ไหวพริบ และความสามารถในการสื่อสาร จึงทำหน้าที่พิธีกรได้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นบุคลากรประจำขององค์การ จึงมีความรู้และถ่ายทอดข่าวสารต่างๆ ได้อย่างดีมีประสิทธิภาพกว่า

แต่งานหลักๆ ที่คิดว่าทุกองค์การน่าจะมีเห็นจะเป็น งานข่าว งานสื่อมวลชนสัมพันธ์ งานโฆษณา งานภาพลักษณ์องค์การ งานผลิตและตัดต่อ งานอะไรๆ ก็ตู (อันนี้นอกเรื่องนะครับ....ออกแนวบ่น 55) ซึ่งมักจะมีการสลับสับเปลี่ยนกันได้ เพื่อความหลากหลายและดูว่าเราเหมาะสมกับงานไหน ใครฉายความเป็น Specialist ด้านใดออกมา ก็อาจจะสามารถฝังตัวอยู่งานนั้นๆ ได้อย่างยาว ยาวววววว ได้ (นอกจากจะเบื่อ หรือเจองานที่ใหม่ที่ดีกว่าไปเสียก่อน)

การทำงานทุกงานจึงต้องมีใจรักและสนุกกับมันนะครับ อย่างจะให้ผมนั่งทำตัวเลขทั้งวันบนหน้าจอ Excel ก็คงจะเฉาตายเป็นแน่ แต่ถ้าจะให้คนที่ขี้อายไปกระโดดขึ้นเวทีเป็นพิธีกร หรือคนที่ชอบงานช่างมานั่งเขียนข่าว ก็อาจจะไหลตายได้เช่นเดียวกัน (เนอะ) เพราะฉะนั้นเราจึงควรเลือกงานให้เหมาะกับความชอบ กับทักษะ ความสามารถ เป็นดีที่สุดเนอะ ^^

พร่ามเสร็จเผลอเหลือบดูนาฬิกาอีกรอบเที่ยงครึ่งพอดี ของีบสักครึ่งชั่วโมงเติมแรงก่อน แล้วมีอะไรดีๆ จะแวะมาพรรณาให้ฟังใหม่อีกที...นะครับ